วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

Hamster


ประวัติความเป็นมาของหนูแฮมสเตอร์(History of Hamster) แฮมสเตอร์เป็นสัตวจำพวกฟันแทะ(Rodent) ขนาดเล็ก สัตว์ในจำพวกนี้ได้แก บีเวอร์ กระรอก กระต่าย และชินชิลล่า เป็นต้น ย้อนไปเมื่อ ปีพ.ศ. 2382 ได้มีการค้นพบแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรียสีทองที่ประเทศซีเรีย โดยนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ และได้นำกลับไปยังสวนสัตว์ลอนดอน จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นแฮมสเตอร์ในธรรมชาติอีกเลย จนบางคนคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ต่อมา แม่แฮมสเตอร์และลูกๆอีก 12 ตัวได้ถูกพบที่บริเวณประเทศซีเรียอีกเช่นเคย โดย Professor I.Aharoni จาก Hebrew University เมืองเยรูซาเล็ม ครั้งนี้พวกมันถูกพาตัวไปยังเยรูซาเล็ม แต่ก็เหลือรอดเพียง 3 ตัวเท่านั้น คือตัวเมีย 2 ตัว และตัวผู้อีก 1 ตัว และนี่ก็คือบรรพบุรุษทั้ง 3 ของแฮมสเตอร์เลี้ยง ซึ่งได้ทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์น่ารักๆไว้ให้เราได้รู้จักกันในปัจจุบัน ในระยะแรกๆ แฮมสเตอร์เข้าสู่ประเทศอังกฤษ และประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นสัตว์ทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น กระทั่งมีผู้เห็นว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู จึงเริ่มนำออกมาเลี้ยงเป็นสมาชิกตัวหนึ่งในบ้าน และได้รับความนิยมในหมู่ผู้รักสัตว์เลี้ยงตั้งแต่นั้นมา


สายพันธุ์ของแฮมสเตอร์
-แฮมสเตอร์พันธุ์ยุโรป (European Hamster)เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาแฮมสเตอร์ทั้งหมด คือมีขนาดเกือบเท่ากระต่าย แต่ไม่เป็นที่นิยมเลี้ยงกันเพราะว่ามีนิสัยค่อนข้างดุ และไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ แม้จะลองนำมาเลี้ยงในสวนสัตว์แล้วก็ตาม

-แฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรีย (Syrian Hamster) เป็นพันธุ์ขนาดกลางเมื่อโตเต็มที่แล้วขนาดจะอยู่ที่ราว 15 ซม. เท่านั้น พันธุ์ซีเรียนี้มีทั้งแบบขนสั้น ขนยาว และหลากหลายสีสัน พันธุ์ซีเรียสามารถเลี้ยงให้เชื่องได้หากเราให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมื่อเรานำเขามาเลี้ยง

-แฮมเตอร์พันธุ์แคระ (Dwarf Hamster)เป็นพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด แล้วก็แคระ สมชื่อด้วยความยาวขณะโตเต็มที่แล้วเพียง 7 ซม. เท่านั้น แฮมสเตอร์แคระสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 3 ชนิดดังนี้

- พันธุ์ไชนีสแคระ (Dwarf Chinese Hamster)ลักษณะหัวและลำตัวค่อนข้างยาว และเพรียวกว่าแฮมสเตอร์แคระพันธุ์อื่นๆ ส่วนลักษณะของเท้าก็เป็นแบบเดียวกันกับแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรีย คือไม่ค่อยมีขนปกคลุม แต่จะมีหางที่ยาวกว่าพันธุ์ซีเรียอยู่เล็กน้อย มีสีตามธรรมชาติเพียง 2 สีเท่านั้น

- พันธุ์แคมเบล รัสเซียน แคระ (Dwarf Campbell's Russian Hamster)


มีลักษณะคล้ายกับพันธุ์วินเทอร์ ไวท์ รัสเซียนแคระ มากแต่ว่าจะมีขนาดตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย ลักษณะโดยทั่วไปคือ หน้าสั้นทู่ ตัวเป็นทรงกลม ขนแน่น นุ่มและเป็นมันเงาปกคลุมทั่วทั้งลำตัว เท้า และ คลุมหางที่กุดสั้นของมัน

- พันธุ์วินเทอร์ ไวท์ รัสเซียน แคระ (Dwarf Winter White Russian Hamster)


มีลักษณะคล้ายกับพันธุ์แคมเบล รัสเซียน แคระ เล็กน้อย แต่มีขนาดตัวเล็กกว่า และหน้าจะสั้นทู่กว่าพันธุ์แคมเบล รัสเซียน แคระอยู่เล็กน้อย (แฮมสเตอร์หน้ายิ่งสั้นเท่าไหร่จะน่ารักมาก)แต่ลักษณะที่แตกต่างคือโดยธรรมชาติแล้ว จะเปลี่ยนสีขนเป็นสีขาวดุจหิมะเมื่ออยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น เป็นแฮมสเตอร์ที่มีลักษณะน่ารักเป็นพิเศษ น่ารักและเป็นมิตรกว่าพันธุ์อื่นๆ

-พันธุ์โรโบรอฟสกี้ (Dwarf Roborovski)


เป็นหนูแฮมสเตอร์แคระที่มีขนาดเล็กที่สุด โตเต็มที่ยาวประมาณ 2 นิ้ว (4-5 ซม.) หน้าตาจะไม่เหมือนกันกับพันธุ์อื่นๆ สีของลำตัวจะมีสีคล้ายทรายในทะเลทรายเพื่อพรางตัวจากศัตรู มีดวงตากลมโต มีนิสัยตื่นตัวอยู่เสมอ วิ่งเร็วกว่าพันธุ์อื่นๆ ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่นิยมใช้ฝุ่นภูเขาไฟสำหรับชินชิลล่าสำหรับทำความสะอาด

สิ่งจำเป็นพื้นฐานในการเลี้ยงแฮมสเตอร์แคระ

-กรง (Cage)

กรงที่ใช้สำหรับแฮมสเตอร์นั้นมีมากมายหลายแบบให้เลือก สามารถใช้กรงที่หุ้มพลาสติกที่มีการออกแบบให้มีรูปแบบและสีสรรต่างๆ หรือเลือกกรงแบบที่ครึ่งบนเป็นตะแกรงก็ได้แต่ต้องตรวจสอบความถี่ของซี่กรงบนตะแกรงด้วย ขนาดของซี่กรงที่เหมาะสมคือต้องไม่ให้ศรีษะของแฮมสเตอร์ลอดผ่านออกมาได้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง และที่สำคัญที่สุดต้องปิดประตูกรงให้สนิททุกครั้ง

-อาหาร (Nutritious food)-ขี้กบ (Wood Shave)
แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่กินง่ายเพราะกินอาหารได้หลายอย่าง อาหารสำหรับเลี้ยงแฮมสเตอร์ ได้แก่อาหารแห้ง อาหารสด และขนมขบเคี้ยวต่างๆ อาหารแห้งหมายถึงอาหารเม็ดสำเร็จรูป เมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลไม้อบแห้ง ซึ่งหาซื้อได้งายสะดวกตามร้านขายสัตว์เลี้ยงทั่วไป ส่วนการให้อาหารสดควรคำนึงถึงความสะอาดและความสดของผักผลไม้ด้วยและควรให้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง มิฉะนั้นจะทำให้เศษอาหารเหลือเน่าเสียเป็นผลเสียต่อสุขภาพของแฮมสเตอร์ได้ ดังนั้นควรเก็บอาหารสดที่แฮมสเตอร์กินเหลือออกจากกรงทุกครั้ง

-ขี้กบ (Wood Shave)


การใส่ขี้กบไว้ที่พื้นกรงจะช่วยให้แฮมสเตอร์ได้สนุกกับการขุด และมุดไปมาได้ นอกจากนั้นขี้กบยังมีคุณสมบัติซับความชื้นและซับกลิ่นที่มาจกการขับถ่ายของเสียได้ดีอีกด้วย แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่รักสะอาดเขาจะรู้สึกสบายตัวเมื่อได้อยู่ในกรงที่สะอาด หรือเปลี่ยนขี้กบให้ใหม่อย่างสม่ำเสมอ แต่การเปลี่ยนขี้กบไม่ควรเปลี่ยนทั้งหมด ควรเหลือขี้กบเก่าและมุมส่วนที่แฮมสเตอร์ใช้สะสมอาหารไว้บ้างเล็กน้อย จะทำให้เขาไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงมากนัก

-หลอดน้ำ (A Water bottle )

หลอดน้ำช่วยให้แฮมสเตอร์มีน้ำสะอาดกินตลอดเวลา และยังทำให้ผู้เลี้ยงไม่ต้องคอยดูแลเปลี่ยนน้ำทุกวัน และหมั่นทำความสะอาดหลอดน้ำอย่างสม่ำเสมอ

-วงหมุนสำหรับออกกำลังกาย (Exercise wheel)


แฮมสเตอร์แคระต้องการการออกกำลังกายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตอนเย็นถึงตกกลางคืน แฮมสเตอร์สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางไกลทีเดียว ฉะนั้นการใส่วงหมุนไว้ภายในกรงจะช่วยให้เขามีโอกาสได้วิ่งออกกำลังเป็นระยะอย่าสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เขาแข็งแรงและไม่เซื่องซึม และวงหมุนยังเป็นของเล่นชิ้นโปรดที่สุดของแฮมสเตอร์อีกด้วย  
-ที่นอนหรือที่หลบซ่อน (A nest box or hiding place)


นิสัยตามธรรมชาติของแฮมสเตอร์จะชอยมุดหลบหาที่นอนตามใต้สิ่งกำบังเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยจากเหล่าสัตว์ร้ายนักล่าตามธรรมชาติ ฉะนั้นที่นอนและที่หลบซ่อนจึงควรมีไว้ภายในกรง นอกจากเพื่อเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยแล้วแฮมสเตอร์ ยังใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันรุนแรงจากตัวที่แข็งแรงกว่าอีกด้วย

พื้นที่ (Space)
แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่ไม่ต้องการพื้นที่มากมายถ้าเทียบกับสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆ ขึ้นอยู่กับจำนวนตัวที่คุณเลี้ยง แม้ว่าแฮมสเตอร์จะตัวเล็ก เขาต้องการเนื้อที่สำหรับวิ่งเล่นออกกำลังกายและทำกิจกรรมอย่างเพียงพอ ถ้าเลี้ยงแฮมสเตอร์ไว้ในกรงเดียวกันหลายๆตัวยิ่งต้องเพิ่มเนื้อที่ของกรงให้มีขนาดกว้างขึ้น เพื่อลดความแออัดตรึงเครียด และที่สำคัญต้องมีที่หลบซ่อนไว้ด้วยเสมอ เพราะการเลี้ยงแฮมสเตอร์หลายๆตัวอาจมีการทะเลาะวิวาทกันบ่อยกว่าการเลี้ยงเพียงไม่กี่ตัว ดังนั้นการมีที่หลบซ่อนสำหรับแฮมสเตอร์ที่อ่อนแอกว่าสามารถซ่อนตัวจากตัวที่เกเรได้อย่างปลอดภัย

อุณหภูมิ (Temperature)
แฮมสเตอร์นั้นมีถิ่นกำเนิดในเมืองหนาวแฮมสเตอร์จึงค่อนข้างไม่ชอบอากาศร้อนจัด ดังนั้นจึงไม่ควรวางกรงในที่ๆแดดส่องถึงหรือใกล้เครื่องไฟฟ้าที่มีความร้อน การขยายพันธุ์

ายุที่เหมาะสมแก่การผสมพันธุ์
อายุที่เหมาะสมแก่การผสมพันธุ์ของแฮมสเตอร์คือประมาณ 3 เดือนขึ้นไป การจับคู่ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแต่นำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ใส่ไว้ในกรงเพาะพันธุ์ หลังจากนั้นก็สังเกตว่าตัวเมียท้องหรือไม่โดยสังเกตจากท้องที่ขยายออก และถ้าใกล้คลอดแล้วอาจจะสังเกตเห็นหัวนมได้ถ้าเป็นไปได้ควรแยกแม่พันธุ์ทื่ท้องไว้ต่างหาก


การดูแลลูกหนู